น้ำหอม Burberry กลิ่นหอมที่สาวๆ คุ้นเคยนั้นคือน้ำหอมในไลน์ Burberry Her และ My Burberry ซึ่งเราเคยเจาะดีเทลกลิ่นหอมจากตระกูล Her กันมาแล้ว ครั้งนี้เราจึงอยากจะพาสาวๆ ไปส่องน้ำหอมทั้งหมด 8 ไลน์จากแบรนด์กันบ้างว่า แต่ละไลน์มีกลิ่นหอมไหนที่โดดเด่นอะไรบ้าง กลิ่นไหนควรตามเก็บ และให้ลุคแบบไหนสำหรับสาวๆ
Burberry Her
น้ำหอมไลน์นี้เปิดตัวมาในปี 2018 ปรุงโดย Francis Kurkdjian นักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศส โดยเป็นน้ำหอมสำหรับสาวน้อย น่ารัก เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการลุคสดในแบบวัยรุ่น ให้กลิ่นหอมสดชื่นของฟรุตเบอร์รี่ โดยพยายามดึงเอาบรรยากาศของเมืองลอนดอนเข้ามาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมของผลไม้ และดอกไม้
โดยกลิ่นแรกที่ปล่อยออกมาคือ Her Eau de Parfum และเป็นกลิ่นยอดฮิตในไลน์นี้เช่นเดียวกัน ขวดใสที่มาพร้อมฝาขวดสีชมพู กลิ่นเปิดมาด้วยความเป็นเบอร์รี่หวานฉ่ำ เปรี้ยวนิดๆ ด้วยสตอเบอร์รี่ ตามมาด้วยกลิ่นของพิมเสนทำให้โล่งและสดชื่น มีชีวิตชีวา กล้าหาญ กลิ่นติดผิวมีความหอมนุ่มคล้ายแป้ง
- Top Note มีกลิ่นของสตอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ เชอร์รี่เปรี้ยว แบล็คเคอร์แรนท์ ส้มแมนดาริน และเลม่อน
- Middle Note มีเพียงสองกลิ่นเท่านั้น คือ ดอกไวโอเลต และดอกมะลิ ให้กลิ่นหอมนิ่งๆ คล้ายกลิ่นแป้ง
- Base Note มีกลิ่นของมัสก์ วานิลลา Cashmeran กลิ่นไม้ โอ๊คมอสส์ แอมเบอร์ และพิมเสน
Burberry Signatures
น้ำหอมที่มาด้วยกลิ่นอันโดดเด่น และแตกต่างกัน โดยได้แรงบันดาลใจประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสิ่งของ ทำให้กลิ่นหอมในไลน์นี้มีเอกลักษณ์ของกลิ่นหอมแต่ละกลิ่นที่ค่อนข้างต่างกันออกไป เปิดตัวมาในปี 2017 โดยนักปรุงน้ำมากฝีมือ อย่าง Francis Kurkdjian ขวดน้ำหอมทรงสีเหลี่ยมคอขวดตกแต่งด้วยโบว์หนัง
กลิ่นหอมที่ได้รับความนิยมในไลน์นี้ คือ Signatures Amber Heath เป็นน้ำหอมประเภท Eau de Parfum ให้กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายป่าดงดิบในยามพลบค่ำ กลิ่นค่อนข้างเหมาะสำหรับช่วงหน้าหนาว หรือไม่ก็ฉีดสำหรับออกงานกลางคืน เพราะกลิ่นมีความหนัก และแน่น ด้วยกลิ่นหวานของแอมเบอร์กริส ถั่วตองก้า และวานิลลา
- Top Note เป็นกลิ่นหอมหวานของทั้งแอมเบอร์ที่มาจากยางไม้ ตามด้วยกลิ่นสดชื่นของพิมเสน
- Middle Note แอมเบอร์กริส หรืออำพันทะเล และวานิลลา
- Base Note กำยาน กลิ่นหญ้าแฝก Tolu Balsam, Peru Balsam ถั่วตองก้า และ Labdanum
My Burberry
น้ำหอมที่ต้องการแสดงของถึงความเป็น Burberry อย่างแท้จริง เปิดตัวมาในปี 2014 ที่ปรุงโดย Francis Kurkdjian อีกเช่นเคย การนำเอาความเป็นแบรนด์หลายๆ อย่างมารวมเข้าเป็นน้ำหอมกลิ่นดอกไม้แสนหวาน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมดอกไม้จากบรรยากาศหลังฝนตกภายในสวนอังกฤษ ถิ่นกำเนิดของแบรนด์ Burberry ขวดดีไซน์จากเสื้อโค้ทที่เป็นเอกลักษณ์สุดโดดเด่น
ส่วนกลิ่นหอมที่แนะนำเลยคือ My Burberry Black Parfum เปิดตัวมาในปี 2016 กลิ่นค่อนข้างมีความติดทน ดังนั้นแนะนำฉีดน้อยๆ จะได้ไม่แน่นจนเกินไป โดยเป็นน้ำหอมกลิ่น Amber Floral เป็นหลิ่นที่เหมาะสำหรับหน้าหนาว หรือต้องการออกงานกลางคืน เพราะกลิ่นค่อนข้างหวานและแน่น
- Top Note กลิ่นหอมของดอกไม้ขาว อย่าง มะลิ
- Middle Note ให้กลิ่นหวานฉ่ำและหอมจากลูกพีช ตามด้วยกลิ่นหอมเผ็ดจากกุหลาบ
- Base Note กลิ่นหวานนุ่มของแอมเบอร์ และกลิ่นสดชื่นจากพิมเสน
Burberry Brit
น้ำหอมสำหรับสาวๆ ที่ต้องการแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง เป็นคนแอ็คทีฟ อยู่เสมอ เปิดตัวมาในปี 2003 ปรุงโดย Natalie Gracia-Cetto นักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศส กลิ่นออกไปทางฟลอรัล ฟรุ๊ตตี้ ขวดน้ำหอมในไลน์นี้ก็น่าสนใจด้วยการนำลวดลาย Burberry Check มาปรากฏอยู่บนขวดสร้างความโดดเด่น และบ่งบอกแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
สำหรับกลิ่นที่แนะนำ คือ Brit For Her แบบ EDP ด้วยกลิ่นเปิดจากมะนาวจึงให้ความเฟรช สดชื่น แต่กลิ่นติดผิวจะหอมเย้ายวนจากดอกไม้ และหอมหวานจากวานิลลา ความสดชื่นจากกลิ่นเปิดทำให้เหมาะเป็นน้ำหอมที่ใช้งานได้ทุกวัน และเน้นไปที่ช่วงกลางวัน แม้จะเป็น EDP แต่กลิ่นไม่ค่อยติดทนสักเท่าไหร่
- Top Note กลิ่นเปรี้ยวสดชื่นจากมะนาว เย็นฉ่ำจากลูกแพร์ และกลิ่นถั่วอัลมอนด์
- Middle Note ให้กลิ่นดอกไม้อย่าง ดอกโบตั๋น
- Base Note ให้กลิ่นหวานและอบอุ่นด้วย วานิลลา ถั่วตองก้า แอมเบอร์ และไม้มะฮอกกานี
Burberry London
เปิดตัวมาในปี 2006 ปรุงขึ้นโดย Dominique Ropion และ Jean-Marc Chaillan กลิ่นหอมของดอกไม้สำหรับสาวๆ ด้วยกลิ่นดอกกุหลาบ และดอกสายน้ำผึ้ง ให้กลิ่นหอมจำลองเมืองลอนดอน ขวดทรงสี่เหลี่ยมแบนหุ้มด้วยผ้าลายตารางโทนสีครีมสำหรับของคุณผู้หญิง เป็นน้ำหอมที่เหมาะสำหรับหน้าหนาว หรืออากาศเย็น กลิ่นค่อนข้างแน่น และฟรุ้ง แนะนำฉีดน้อยๆ
ซึ่งเป็นน้ำหอมที่มีให้สำหรับทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ โดยกลิ่นที่เราเลือกมาคือ London สำหรับสาวๆ แบบ EDP ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นกลิ่นที่ค่อนข้าง Unisex เลยทีเดียว กลิ่นมีความน่าดึงดูด แอบ Sexy นิดๆ กลิ่นหลักเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว ตามมาด้วยกลิ่นซีตรัสที่สดชื่น กลิ่นติดผิวหอมอบอุ่นของไม้จันทร์ และมัสก์
- Top Note ให้กลิ่นส้มเขียวหวาน ดอกสายน้ำผึ้ง และดอกกุหลาบ
- Middle Note ดอกมะลิ Tiare Flower ดอกโบตั๋น และส้มคลีเมนไทน์
- Base Note กลิ่นมัสก์ ไม้จันทร์หอม และพิมเสน
Burberry Weekend
เป็นน้ำหอมที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1997 ที่ถูกปรุงขึ้นโดย Nathalie Lorson เน้นให้กลิ่นหอมผ่อนคลาย เบาสบาย เหมือนกับการพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ตามแรงบันดาลใจในการปรุงน้ำหอมกลิ่นนี้เลย ขวดน้ำหอมไลน์นี้ไม่นับว่าโดดเด่น เพราะดีไซน์มาเรียบๆ โดยจะมีลวดลายขีดๆ แนวทะแยงเหมือนที่ปรากฏบนผ้า Burberry Check
ซึ่งไลน์นี้ก็มีทั้งของหนุ่มๆ และสาวๆ เช่นเคย เราจึงเลือกกลิ่นหอมสำหรับสาวๆ มา โดยเป็นน้ำหอมแบบ EDP กลิ่นมีความเป็นดอกไม้ กลิ่นแป้ง ฟรุตตี้หวานๆ และก็สดชื่น โดยรวมเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างเบาสบาย ใช้งานง่าย กลิ่นเปิดสดชื่นด้วยกลิ่นส้ม ตามมาด้วยกลิ่นดอกไม้แบบฟลอรัล
- Top Note กลิ่นส้มเขียวหวาน ยางไม้ และเรซีด้า
- Middle Note กลิ่นดอกกุหลาบป่า ดอกพีช ไอริส ดอกไฮยาซินธ์ และเนคทารีน
- Base Note มักส์ ไม้ซีดาร์ และไม้จันทน์
Burberry For Women
ยังคงเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นแยกสำหรับหนุ่มๆ และสาวๆ โดยไลน์นี้เปิดตัวมาในปี 1995 โดย Michel Almairac เป็นผู้ปรุงกลิ่นนี้ขึ้นมา กลิ่นมีความฟรุตตี้ เปรี้ยว สดชื่น เป็นกลิ่นเปิด ตามมาด้วยกลิ่นสบายๆ คล้ายแป้ง กลิ่นอบอุ่นจากไม้ ที่มีทั้งความเข้มข้น และเย้ายวน กลิ่นติดผิวมีความหวานและอบอุ่นด้วยวานิลลา
- Top Note เป็นกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์และแอปเปิ้ลเขียว
- Middle Note กลิ่นของดอกมะลิ มอส ไม้ซีดาร์ และไม้จันทน์
- Base Note มัสค์ และวานิลลา
Burberry Touch
ดีไซน์ขวดสุดแปลกตาคล้ายกับขวดพริกไทย และยังมีกลิ่นพริกเป็นส่วนผสมอยู่ในน้ำหอมอีกด้วย เป็นน้ำหอมประเภท EDP ดังนั้นกลิ่นจึงค่อนข้างติดทน และนาน กลิ่นมีความเป็น Floral Green โดยเป็นน้ำหอมที่เปิดตัวมาในปี 1998 จากนักปรุงน้ำหอมมากฝีมือ อย่าง Michel Girard เป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายอีกกลิ่น เหมาะฉีดในช่วงกลางวัน
- Top Note พริกแดง อบเชย ส้ม แบล็กเบอร์รี่ แบล็กเคอแรนท์ แครนเบอร์รี่ ดิวเบอร์รี่ และน้ำมันกุหลาบ
- Middle Note ลิลลี่ โบตั๋น พีช ซ่อนกลิ่น ลิลลี่หุบเขา มะลิ และราสเบอร์รี่
- Base Note ไม้ซีดาร์ โอ๊คมอส วานิลลา ถั่วมัลมอนด์ และถั่วตองก้า
น้ำหอม Burberry ทั้ง 8 ไลน์กลิ่นหอมนี้ต่างมีกลิ่นหอมที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่ทุกกลิ่นต่างพยายามใส่กลิ่นหอมที่บ่งบอกถึงบรรยากาศของเมืองผู้ดีเข้าไป ทำให้ส่วนมากน้ำหอมจากแบรนด์นี้จะเหมาะสำหรับหน้าหนาว หรือหน้าฝนซะมากกว่า บางกลิ่นหากมาใช้ในอากาศร้อนๆ ของบ้านเรากลิ่นอาจจะฉุนไปซะหน่อย จึงแนะนำว่าฉีดเบาๆ เพื่อที่กลิ่นจะได้ไม่ไปรบกวนคนข้างๆ