Franck Muller (แฟรงก์ มูลเลอร์) แบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาจากสวิสเซอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงาม กลไกที่ซับซ้อน และรูปลักษณ์อันโดดเด่น เปิดตัวมาในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งครั้งนี้เราจะพาไปส่องโมเดลใหม่ในปี 2023 ที่เปิดตัวภายในงาน World Presentation of Haute Horology ของทางแบรนด์เอง หรือที่เรียกว่า WPHH ครั้งที่ 33 นาฬิกาที่เต็มไปด้วยความสวยงาม เลอค่า และน่าจับจอง พร้อมเปิดเผยราคาค่าตัวที่สมฐานะตัวพ่อตัวแม่ระดับลักชูฯ กันไปเลย
Curvex CX Giga Tourbillon
เป็นการนำ Giga Tourbillon ขนาด 20 มม. มาติดตั้งบนโมเดล Curvex CX ที่ได้รับการออกแบบใหม่เป็นครั้งแรก โดยกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของหน้าปัดเปลื่อย ตัวเรือนมีทั้งแบบเตนเลสสตีล และทองคำแท้ โดดเด่นด้วยกลไกแบบ 4 บาร์เรลที่ให้พลังงานสำรองได้มากถึง 4 วัน มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัสดุ โครงสร้าง และการตกแต่งเพชร
Curvex CX Flash Grand Central Tourbillon
อีกโมเดลใหม่ที่มีต้นแบบมาจากโมเดล Curvex CX สุดคลาสสิก โดยรุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกของรถสปอร์ตไฮเทค ดูมีความโดดเด่น และล้ำสมัย ให้ความสำคัญที่วัสดุโดยมีด้วยกันสองแบบให้เลือก คือ โลหะผสม (Modern Alloys) และ คาร์บอนคอมโพสิต หลักชั่วโมงมาด้วยสีสันสดใสเป็นดัชนีแทนตัวเลข ซึ่งมี Tourbillon ขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ตรงกลางอย่างเด่นชัด ราคาเริ่มต้นที่ 123,900 ดอลลารห์สหรัฐ หรือประมาณ 4 ล้านบาท ราคาจะปรับขึ้นในเวอร์ชั่นที่ตัวเรือนผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์
Vanguard™ Damascus Steel
โมเดลนี้ได้ต้นแบบมากจากโมเดล Vanguard™ สุดล้ำที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งโมเดลใหม่นี้จะมาขยายโลกของ Vanguard™ ให้หลากหลายมากขึ้น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะและการนำวิทยาศาสตร์และความรู้มาใช้ในการผลิตเหล็ก Damascus ซึ่งเป็นวัสดุใหม่สำหรับปีนี้
โดยวัสดุของเหล็ก Damascus นี้ ถือว่าแปลกใหม่ในวงการนาฬิกาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นวัสดุสำหรับใช้ทำมีด หรือดาบมาเป็นเวลาหลายร้อยปี สร้างขึ้นจากการหลอมเหล็กสองชนิดที่มีความแตกต่างกันเข้าด้วยกันเป็นชั้นๆ ทำให้ตัวเรือนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือมีเส้นหยักตามแบบธรรมชาติปรากฏอยู่บนนั้น
นอกจากนี้ตัวเลขบนหน้าปัดและตัวล็อคสายยางก็ยังทำมาจากโลหะผสมอันโดดเด่น โดยมีราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 24,200 ดอลลาร์สหัฐ หรือประมาณ 9 แสนบาท ซึ่งในเวอร์ชั่น Damascus Steel Skeleton หน้าปัดเปลือย ราคาอาจสูงถึง 2 เท่า
Vanguard™ New Tone Skeleton
ต้นแบบโมเดล Vanguard™ กับดีไซน์ใหม่ ที่ได้แรงบันดาลใจกมาจากสเปกตรัมสามเหลี่ยม ทฤษฎีสีของ Isaac Newton เกี่ยวกับสเปกตรัมของแสงที่มองเห็นได้ โดดเด่นด้วยตัวเรือนคาร์บอนไฟเบอร์และกลไกแบบเปิด รูปลักษณ์มีความทันสมัย และสีสันสดใส มีเวอร์ชั่นสำหรับคุณผู้ชายในราคา 56,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านบาท และเวอร์ชั่นคุณผู้หญิงที่ราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย
Curvex CX Lady
ต้นแบบโมเดล Curvex CX ดีไซน์โค้งมนที่โดนใจสาวๆ พร้อมขนาดใหม่ 30 มม. และ 33 มม. เพื่อให้เข้ากับขนาดข้อมือของคุณผู้หญิง ซึ่งโมเดลในปี 2023 นี้ก็มีหลากหลายเวอร์ชั่นไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนแบบทูโทน สีในโทนพาสเทล หลักชั่วโมงตัวเลขอารบิกหลายสีสัน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8,800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนบาท
Curvex CX Piano
โมเดล Curvex CX คือต้นแบบของเรือนเวลาที่เรียบง่าย และหรูหรา ซึ่งอาจจะแปลกตาสำหรับแบรนด์นี้เพราะหน้าปัดสีดำเงา เคลือบแล็กเกอร์โปร่งแสง 20 ชั้น แบบคลีนๆ ไม่ได้มีหลักชั่วโมงอะไรบนหน้าปัด นอกจากเข็มนาฬิกาและชื่อแบรนด์ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 9,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนบาท
Vanguard™ Slim Skeleton
โมเดลต้นแบบ Vanguard™ โดยโมเดลใหม่นี้โดดเด่นด้วยการออกแบบหน้าปัด Skeleton ที่เผยให้เห็นกลไลการทำงานอันซับซ้อนของนาฬิกา ซึ่งถือเป็นดีไซน์ดั้งเดิมของโมเดลนี้ ตัวเรือนดีไซน์มาด้วยความเพรียวบาง ดูสะอาดตา และสง่างาม ซึ่งราคายังไม่ถูกเปิดเผย
Vanguard™ Slim Vintage
โมเดลใหม่ล่าสุดในไลน์ Vanguard™ โดยเป็นการผสมผสานรูปลักษณ์ที่ดูวินเทจเข้ากับกลไก In-House ที่มีความบาง รวมไปถึงตัวเรือนที่ถูกปรับให้มีความบางเฉียบ ดูคลาสสิกและสง่างาม ซึ่งตัวเรือนมีทั้ง Stainless Steel และ Gold ตัวเรือนที่มาด้วยสาย Stainless Steel หน้าปัดจะมีความเงางามเป็นประกาย ส่วนตัวเรือนที่มาด้วยสายหนังหน้าปัดจะมีสีสันสดใส ราคาเริ่มต้นที่ 10,800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 แสนบาท
Vanguard™ Crazy Hours by Hom Nguyen
เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของนาฬิกาโมเดล Crazy Hours ทางแบรนด์จึงได้ร่วมมือกับ Hom Nguyen จิตกรเชื้อสายฝรั่งเศส-เวียดนาม ผู้โดดเด่นในผลงานศิลปะภาพวาดพอร์ทเทรตด้วยเส้นสายที่ซับซ้อน โดยเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งที่สอง เพื่อสร้างสรรค์เรือนเวลาสุด Limited Edition มาให้เหล่านักสะสมได้ตามเก็บกัน
โดยสร้างขึ้นบนโมเดลของ Vanguard™ บนหน้าปัดในส่วนของตัวเลขบอกเวลาจุถูกขีดเขียนด้วยลายเส้นที่ซับซ้อนตามแบบฉบับของ Hom Nguyen ตัวเรือนมีทั้งที่ผลิตจาก Stainless Steel, ไทเทเนียม, เซรามิก และ Rose Gold 18K ขนาดหน้าปัดมี 41, และ 45 มม. โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 50 หรือ 100 เรือน เท่านั้นขึ้นอยู่กับดีไซน์ของแต่ละเวอร์ชั่น ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 22,600 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 9 แสนบาท
Skafander™
เมื่อปี 2018 ทางแบรนด์ได้เปิดตัวนาฬิกาดำน้ำ ดีไซน์สปอร์ต กันน้ำลึก 100 เมตร ตัวเรือนจากโมเดล Cintrée Curvex หรือทรงถังเบียร์ มาในตัวเรือนขนาด 46 มม. แต่สำหรับโมเดลในปี 2023 นี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์การตกแต่งบนหน้าปัด รวมถึงขนาดตัวเรือนที่ปรับขนาดลดมาอยู่ที่ 43 มม. พร้อมสีสันที่สดใสยิ่งขึ้น ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมน้ำหนักเบามีในสีปกติ และเคลือบสีดำ ราคาเริ่มต้นที่ 13,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 แสนบาท
Cintrée Curvex™ Retrograde Hour Tourbillon
ความพิเศษของโมเดลนี้คือการอ่านเวลาแบบใหม่ เข็มนาฬิกาจะหมุนเดินไปตามความโค้งเพียง 220 องศา แล้วเด้งกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งเรียกรูปแบบนี้ว่า “เรโทรเกรด” จากปกติจะเดินรอบเป็นวงกลม 360 องศา หน้าปัดตรง 6 นาฬิกา ตกแต่งด้วย Tourbillon ตัวเรือนมีทั้งสีเงิน และสีโรสโกลด์ รวมไปถึงการตกแต่งเพชรรอบตัวเรือน ราคายังไม่ถูกเปิดเผย
Curvex CX Chronograph
เพิ่มดีไซน์ทางเลือกให้กับไลน์ Curvex CX อีกครั้ง โดยโมเดลนี้ โดดเด่นที่หน้าปัดมาพร้อม Chronograph บริเวณ 3 และ 9 นาฬิกา ตัวเรือนขนาด 40 มม. มีด้วยกัน 2 เวอร์ชั่น คือ ตัวเรือน Stainless Steel มาพร้อมสายหนังสีดำ และตัวเรือน Rose Gold หน้าปัดและสายหนังสีน้ำเงิน โดดเด่นด้วย Chronograph สีเงิน ราคาเริ่มต้นที่ 34,400 ดอลาาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท
Round R43
นาฬิกาตัวเรือนทรงกลมที่ยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอมา โดยทางแบรนด์ได้เพิ่มโมเดลใหม่นี้ให้มีทั้งความสง่างาม คลาสสิก และเหนือกาลเวลา ตัวเรือนมาด้วยขนาด 43 มม. หลักชั่วโมงมีทั้งแบบเรียบ และแบบตัวเลขให้เลือกชอป สายนาฬิกาทำจากหนัง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 แสนบาท
Franck Muller โมเดลใหม่ในปี 2023 นี้ เปิดตัวกันอย่างคับคั่งกว่า 13 โมเดล ซึ่งทำเอาเหล่าสาวกกวาดตาดูแทบไม่หมดกันเลยทีเดียว เรายกมาเป็นตัวอย่างทั้ง 13 โมเดล แต่ก็ไม่ได้หยิบยกมาครบทุกเวอร์ชั่น โดยแต่ละโมเดลก็มีเวอร์ชั่นย่อยแยกออกไปอีกมากมาย สามารถไปส่องตามได้ที่ www.franckmuller.com