Bleu de Chanel น้ำหอมสำหรับผู้ชาย จากแบรนด์ Chanel กลิ่นหอมยอดฮิตที่ใครๆ ต่างก็แนะนำ นับเป็นน้ำหอมสามัญในหมู่ของสุภาพบุรุษ ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ก็ยังคงเป็น Item คลาสสิกที่อยู่ในใจหลายๆ คน กลิ่นที่สื่อถึงความสมาร์ท ภูมิฐาน สุภาพและสดชื่น ให้ลุคผู้ชายวัยทำงานที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
วันนี้เราจะพาไปเปิดกลิ่นความหอมในไลน์นี้ว่า จะมีกลิ่นหอมแบบไหน แตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับลุคแบบไหนบ้าง ไปหาคำตอบความหอมสำหรับคุณผู้ชายไปพร้อมกันเลย
เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 ที่รังสรรค์ขึ้นโดย Jacques Polge โดยกลิ่นแรกที่ออกมาเลยคือ EDT ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยกลิ่นที่สดชื่นและบริสุทธิ์ ตามมาด้วย EDP ในปี 2014 กับกลิ่นที่มีความอบอุ่นขึ้นจากเดิม และในปี 2018 กลิ่น Parfum ให้ลุคทันสมัยขึ้น รังสรรค์ขึ้นโดย Olivier Polge ลูกชายของ Jacques Polge
Eau de Toilette
กลิ่นแรกที่เปิดตัวมาในปี 2010 โดย Jacques Polge น้ำหอมที่หอมกลิ่นไม้ ด้วยความเป็น EDT ความเข้มข้นของน้ำหอมจึงไม่เยอะมาก กลิ่นจึงมีความสว่าง หอมสบาย เหมาะสำหรับหน้าร้อน กลิ่นจะติดทนอยู่ที่ประมาณ 5 ชั่วโมง ให้ลุคผู้ชายที่มีความมั่นใจ สดชื่น และไม่ดูแก่ จึงเหมาะสำหรับให้ลุคที่ดูวัยรุ่นหน่อย
- Top Note ให้ความสดชื่นและเผ็ดร้อนด้วยกลิ่นเลม่อน เกรปฟรุต มิ้นต์ และพริกไทยสีชมพู
- Middle Note คือ ขิง ลูกจันทร์เทศ มะลิ และ Iso E Super
- Base Note คือ ธูป หญ้าแฝก ไม้ซีดาร์ ไม้จันทร์ พิมเสน Labdanum และ White Musk ให้กลิ่นที่หอมควันธูป และอบอุ่นนุ่มนวลด้วยกลิ่นไม้
Eau de Parfum
ตามมาด้วยกลิ่น Eau de Parfum ที่เปิดตัวมาในปี 2014 จากผู้รังสรรค์กลิ่นหอมคนเดิม คือ Jacques Polge เป็นกลิ่นหอมไม้มากกว่า กลิ่นมีความอุ่นและทึบกว่า รุ่น EDT จึงให้ลุคที่ดูผู้ใหญ่ ภูมิฐานขึ้น ในช่วงวัยทำงาน กลิ่นมีความ Sexy ขึ้นมา เป็นน้ำหอมที่คุ้มค่า เพราะเหมาะกับทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะกลางวันกลางคืน แถมกลิ่นยังติดทนถึง 7 ชั่วโมง
- Top Note จะคล้ายกันกับ EDT คือ กลิ่นเลม่อน เกรปฟรุต มิ้นต์ และพริกไทยสีชมพู แต่จะเพิ่มกลิ่นมะกรูด ผักชี และอัลดีไฮด์
- Middle Note จะเป็นกลิ่นเมล่อน มะลิ ขิง และลูกจันทร์
- Base Note จะมีกลิ่น ธูป ไม้ซีดาร์ ไม้จันทร์ พิมเสน Labdanum ที่พิเศษเลยคือกลิ่น Amber หรือ อำพัน เป็นตัวเด่นมีส่วนช่วยให้กลิ่นละมุน และหวานขึ้น
Parfum
สานต่อกลิ่นหอมที่พ่อสร้างไว้ กับน้ำหอม Bleu de Chanel Parfum เปิดตัวมาในปี 2018 ที่รังสรรค์ขึ้นโดย Olivier Polge ลูกชายของ Jacques Polge โดยมีการปรับกลิ่นให้กลมกล่อม และทันสมัยมากขึ้น เป็นอีกกลิ่นที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ แต่มีกลิ่นที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางปาร์ตี้กลางคืนเล็กน้อย เพราะกลิ่นมีความหนักขึ้นมา กลิ่นติดทนที่ 6 ชั่วโมง
- Top Note เปิดมาด้วยความสดใส จากกลิ่นของผิวเลม่อน มะกรูด มิ้นต์ และ Artemisia
- Middle Note นั้นได้ถูกเปลี่ยนไปจากเดิม คือมีกลิ่นของ ดอกลาเวนเดอร์ ดอกเจอเรเนียม Green Note กลิ่นที่มาจากธรรมชาติ และสัปปะรด
- Base Note ยังคงมาด้วยกลิ่นอบอุ่นของไม้เช่นเคย คือ ไม้ซีดาร์ ไม้จันทร์ และยังมี Iso E Super อำพัน และถั่วตองกา
นอกจากนี้ยังมีไซ้ซ์ขนาดพกพกมา เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน สามารถหยิบมาเพิ่มกลิ่นหอมได้บ่อยครั้งตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยว หรือหลังเล่นกีฬา
- EDP Twist and Spray ที่มาด้วยกลิ่นหอม Eau de Parfum กลิ่นให้ลุคผู้ชายวันทำงาน ดูภูมิฐาน น้ำหอมในรูปแบบของสเปรย์ เป็นเซ็ทรีฟิล 3 ชิ้น
- Parfum Twist and Spray กลิ่นหอม Parfum กลิ่นมีความทันสมัยขึ้น ค่อนข้างเหมาะกับงานปาร์ตี้กลางคืน เป็นสเปรย์น้ำหอมแบบเซ็ทรีฟิล 3 ชิ้น
- All-Over Spray เป็นสเปรย์น้ำหอมที่ฉีดใส่ได้ทั้งผิว และเสื้อผ้า กลิ่นมีความบางเบา หอมอ่อนๆ กลิ่นจึงไม่ติดทน ฉีดเพิ่มได้เรื่อยๆ
แม้จะผ่านมากว่า 13 ปี แต่น้ำหอมในไลน์นี้ก็ยังเป็นน้ำหอมผู้ชายอันดับ 1 จาก Chanel ที่ใครต่อใครต่างก็แนะนำ เพราะกลิ่นที่ออกไปทางสุภาพ ภูมิฐาน ใช้งานง่าย และมีความหรูหรา ดังนั้นกลิ่นนี้จึงมีความฮอตฮิตมาก มากจนแทบจะเป็นกลิ่นสามัญของคุณผู้ชายกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจคุณผู้ชายที่อยากมีความโดดเด่นเท่าไหร่นัก เพราะน้ำหอมกลิ่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องมีจริงๆ